ประวัติศาสตร์การผลิตน้ำตาลของประเทศไทย เริ่มถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคการก่อกำเนิดเมื่อครั้งโบราณกาล และได้สืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน แต่ละยุคแต่ละสมัยล้วนเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ |
อุตสาหกรรมน้ำตาลยุคก่อนการพัฒนา อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายปรากฎหลักฐานเป็นเรื่องราวมาตั้งแต่ยุคสุโขทัย โดยมีแหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ที่เมืองสุโขทัย พิษณุโลก และกำแพงเพชรกล่าวกันว่าน้ำตาลที่ผลิตได้ในตอนนั้นเป็นเพียงน้ำตาลทรายแดง(Muscovado)หรือน้ำตาลงบพื้นเมืองซึ่งการผลิตน้ำตาลทรายแดงในขณะนั้นเรียกได้ว่าผลิตมากจนเหลือใช้จนกระทั่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการนำน้ำตาลทรายแดงที่เหลือใช้ในประเทศส่งออกไปขายในประเทศญี่ปุ่นจึงนับได้ว่าน้ำตาลทรายแดงเป็นสินค้าส่งออกชนิดหนึ่งของประเทศไทย |
|
||
อุตสาหกรรมน้ำตาลยังคงรุ่งโรจน์มาโดยตลอดการส่งออกก็ยังทำอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในปี
พ.ศ .2365 สมัย
กรุงรัตนโกสินทร์
ชาวจีนในเมืองไทย
ได้ทำการผูกขาดการส่งออกน้ำตาลประมาณปีละ
5,000 เมตริกตัน
และเพิ่มจำนวนการส่งออกขึ้นเรื่อย
ๆ
จนกลายเป็นสินค้าออกอันดับ
1 ของไทย
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายเจริญเติบโตไปได้ไม่นานก็พบอุปสรรคที่ทำให้อุตสาหกรรมซบเซา
คือเรื่องระบบภาษีอากร
และราคาน้ำตาลโลกตกต่ำ
|
|
อุตสาหกรรมน้ำตาลสมัยผลิตเกินความต้องการบริโภคภายในประเทศ ในปีพ.ศ.2502รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมขึ้นคณะกรรมการฯชุดนี้ได้ออกบัตรส่งเสริมให้เอกชนจัดตั้งโรงงานน้ำตาลทำให้จำนวนโรงงานน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็น 48โรงงานซึ่งการเพิ่มขึ้นของโรงงานน้ำตาลนี้เป็นการขยายในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมกับภาวะการณ์ของตลาดโลกอุตสาหกรรมน้ำตาลเริ่มถึงจุดอิ่มตัวเพราะน้ำตาลล้นตลาด ทำให้ราคาน้ำตาลในประเทศลดต่ำลง และไม่มีหลักประกันราคาคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติห้ามนำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศเว้นแต่เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมน้ำอัดลมตามความจำเป็น และให้องค์การคลังสินค้ากระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลือโรงงาน น้ำตาลโดยรับจำนำและรับฝากน้ำตาลเพื่อช่วยเหลือให้โรงงานมีเงินทุนหมุนเวียนคล่องขึ้น | ||
อย่างไรก็ตามปรากฏว่ายังมีการนำเข้าน้ำตาลมากเกินความจำเป็นรัฐบาลจึงสั่งให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่5มกราคมพ.ศ.2503ในระยะสั้นด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรที่นำเข้าและหาเงินให้ชาวไร่อ้อยกู้อีก
5ล้านบาทส่วนในระยะยาวให้ปรับปรุงคุณภาพอ้อย
และประกาศห้ามตั้งโรงงานน้ำตาลทรายขาว
โรงงานน้ำตาลทรายแดงโรงงานทำน้ำเชื่อมกำหนดระยะเวลาเปิดหีบอ้อยในแหล่งต่างๆเพื่อให้อ้อยที่จะป้อนโรงงานมีความสุกแก่ได้ที่และมีความหวานสูงพร้อมกับส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคน้ำตาลมากขึ้น
แต่ปรากฏว่ามาตรการเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลในปี
พ.ศ. 2503
ได้เพิ่มขึ้นและยังมีสต็อกน้ำตาลเหลือมาจากปีก่อนอีก
ทำให้ราคาน้ำตาลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตโรงงานน้ำตาลจึงต้องหยุดกิจการไปเป็นจำนวนมาก
|
อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายสมัยพระราชบัญญัติน้ำตาลทราย พ.ศ. 2511 รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติน้ำตาลทราย พ.ศ.2511 ขึ้น หลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดตั้ง”ศูนย์ส่งเสริมน้ำตาลทราย” เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2509 โดยมีหน้าที่ดำเนินการส่งเสริมกิจการไร่อ้อยและน้ำตาลทางด้านวิชาการ และเพื่อให้สามารถดำเนินงานให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบาย ต่อมาได้โอนกิจการศูนย์ส่งเสริมน้ำตาลทรายไปให้ “สำนักงานอ้อยและน้ำตาลทราย”ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติน้ำตาลทราย พ.ศ.2511 โดยประกอบด้วยงานหลัก 3 ด้าน คือ งานเกษตรอ้อย งานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีน้ำตาล และงานนโยบายและเศรษฐกิจน้ำตาล |
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภายใต้นโยบายแบ่งปันผลประโยชน์ 70:30 เนื่องจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายยังขาดเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาระยะยาว นโยบายที่กำหนดส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นรายปี ซึ่งในแต่ละปีปัญหาจะแตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การกำหนดราคาอ้อยโดยเสรีตามกลไกของตลาดทำให้เกิดปัญหา คือ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถกำหนดราคาตามความพอใจของตนได้ เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกผันผวนตลอดเวลา ในขณะเดียวกันการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว ทางราชการไม่สามารถจัดระเบียบการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและมีแบบแผนที่ดีได้ เพราะว่าองค์กรและเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้มีอยู่จำนวนจำกัด อีกทั้งองค์กรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลขาดการวางแผนร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ทำให้ทั้งสองฝ่ายผลักภาระให้รัฐบาลช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา จึงก่อให้เกิดแนวความคิดที่จะนำระบบแบ่งปันผลประโยชน์มากำหนดราคารับซื้ออ้อย ซึ่งเป็นการประยุกต์รูปแบบการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอัฟริการใต้มาใช้ให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเพื่อใช้เป็นนโยบายในการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ |
กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำแนวนโยบายดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2525 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้มีการกำหนดราคารับซื้ออ้อยตามระบบแบ่งปันผลประโยชน์จากรายรับสุทธิที่ได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวที่ใช้บริโภคภายในประเทศ และน้ำตาลทรายที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในอัตราร้อยละ 70 เป็นของชาวไร่อ้อยและร้อยละ 30 เป็นของโรงงานน้ำตาล และได้มีการประกาศใช้นับแต่นั้นมา |
เนื่องจากการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำระบบแบ่งปันผลประโยชน์มาใช้ในการบริหารนั้น
ในช่วงแรกที่ยึดหลักการบริหารตามพระราชบัญญัติน้ำตาลทรายพ.ศ.2511ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิธีการผลิตและจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทรายตามนโยบายแบ่งปันผลประโยชน์
70:30และต้องคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อยในด้านการผลิตและจำหน่ายอ้อยจึงได้จัดระบบและควบคุมการผลิตและจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทรายที่ผลิตจากอ้อยของชาว
ไร่อ้อยโดยให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทรายซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงร่วมมือกับทางราชการตั้งแต่การผลิตอ้อยไปจนถึงการจัดสรรเงินรายได้จากการขายน้ำตาลทรายทั้งในและนอกราชอาณาจักร
ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทราย
เพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเติบโต
โดยมีเสถียรภาพและเกิดความเป็นธรรมแก่ชาวไร่อ้อย
โรงงานน้ำตาลทรายและประชาชนผู้บริโภค
รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย
พ.ศ. 2527เพื่อให้การซื้อขายอ้อยตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีกฎหมายรองรับหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฎิบัติของฝ่ายต่าง
ๆที่เกี่ยวข้องผลจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในการบริหารอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายใหม่ทำให้มีระบบการบริหารที่ชัดเจนและเป็นระเบียบยิ่งขึ้นนับจากนั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้